เมนู

[1041] อนึ่ง เราตถาคตได้มีชื่อว่ากัปปะ เป็นอัน-
เตวาสิกของท่านได้รู้แล้วว่า ท่านเป็นดาบสผู้
มีปัญญาดีมีพรตอันใด เราตถาคตระลึกพรต
ศีลและจรณะเก่าของท่านได้ เหมือนนอนหลับ
ฝันไปตื่นขึ้นแล้ว ระลึกถึงฝันได้ ฉะนั้น.
[1042 ] พระองค์ทรงทราบอายุของข้าพระองค์
นั้นได้แน่นอน แม้สิ่งอื่นพระองค์ก็ทรงทราบ
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง.
จริงอย่างนั้น พระรัศมีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
นี้ จึงส่องพรหมโลกให้สว่างไสวอยู่.

จบ พกพรหมชาดกที่ 10

อรรถกถาพกพรหมชาดกที่ 10



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภ
พกพรหมแล้ว จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ทฺวาสตฺตติ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ท่านพกพรหมเกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ว่า สิ่ง
นี้เที่ยง ยั่งยืน สืบเนื่อง ๆ กันไป ไม่มีการเคลื่อนธรรดา สิ่งอื่น
นอกจากนี้ ที่ชื่อว่าพระนิพพานเป็นที่ออกไปของสัตวโลกไม่มี ได้ยินว่า
พระพรหมองค์นี้เกิดภายหลัง เมื่อก่อนบำเพ็ญฌานมาแล้ว จึงมาเกิด

ในชั้นเวหัปผลา. ท่านให้อายุประมาณ 500 กัปป์สิ้นไปในชั้นเวหัปผลา
นั้นแล้ว จึงเกิดในชั้นสุภกิณหาสิ้นไป 64 กัปป์แล้ว จุติจากชั้นนั้น
จึงไปเกิดในชั้นอาภัสรา มีอายุ 8 กัปป์ ในชั้นอาภัสรานั้น ท่านได้
เกิดความเห็นขึ้นอย่างนี้ เพราะท่านระลึกถึงการจุติจากพรหมโลกชั้นสูง
ไม่ได้เลย ระลึกถึงการเกิดขึ้นในพรหมโลกชั้นนั้นก็ไม่ได้. เมื่อไม่เห็น
ทั้ง 2 อย่าง ท่านจึงยึดถือความเห็นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ทราบความปริวิตกแห่งจิตของพกพรหมนั้น ด้วยเจโตปริยญาณแล้ว
จึงทรงหายพระองค์ไปจากพระเชตวันมหาวิหาร ปรากฏพระองค์บน
พรหมโลก อุปมาเหมือนหนึ่ง คนมีกำลังแข็งแรงเหยียดแขนออกไปแล้ว
คู้แขนที่เหยียดออกไปแล้วเข้ามาก็ปานกัน ครั้งนั้น พระพรหมเห็น
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงทูลว่า มาเถิดท่านสหาย ท่านมาดีแล้วท่าน
สหาย นานนักท่านสหาย ท่านจึงจะได้ทำปริยายนี้ คือการมาที่นี้
เพราะสถานที่นี้เป็นสถานที่เที่ยง เป็นสถานที่ยั่งยืน เป็นสถานที่สืบ
เนื่องกันไป เป็นสถานที่ไม่มีการเคลื่อนเป็นธรรมดา เป็นสถานที่มั่นคง
ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ ก็แต่ว่าสถานที่อื่นที่ชื่อว่า เป็น
ที่ออกไปจากทุกข์ ยิ่งกว่านี้ไม่มี. เมื่อพกพรหมทูลอย่างนี้แล้ว พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสคำนี้กะพกพรหมว่า พกพรหมผู้เจริญ ตกอยู่
ในอำนาจของอวิชชาแล้วหนอ พกพรหมผู้เจริญ ตกอยู่ในอำนาจของ
อวิชชาแล้วหนอ เพราะได้พูดถึงสิ่งที่ไม่เที่ยงนั่นแหละว่าเป็นของเที่ยง
และได้พูดถึงธรรมที่สงบอย่างอื่น ว่าเป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์

อันยิ่งยวดไม่มีธรรมอื่นที่เป็นธรรมเป็นที่ออกไปจากทุกข์ยิ่งกว่า พระ-
พรหมได้ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า นี่ จะอนุวัตรคล้อย
ตามเราด้วยประการอย่างนี้ว่า ท่านกล่าวอย่างนี้ถูกแล้ว แต่เกรงกลัวการ
อนุโยคย้อนของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทำนองเดียวกับโจรผู้ด้อยกำลัง
ได้รับการตีเล็กน้อย ก็บอกเพื่อนฝูงทุกคนว่า ฉันคนเดียวหรือเป็นโจร ?
คนโน้นก็เป็นโจร คนโน้นก็เป็นโจร เมื่อจะบอกเพื่อนฝูงของตนแม้
คนอื่น ๆ จึงกล่าวคาถาที่ 1 ว่า :-
ข้าแต่พระโคดม พวกข้าพระองค์มี 72
คน ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว มีอำนาจแผ่ไป
ล่วงความเกิดและความแก่ไปได้ การเกิดเป็น
พรหมนี้ เป็นอันติมชาติ ชาติสุดท้าย จบ
ไตรเพทแล้ว คนจำนวนมากเอ่ยถึงพวกข้า
พระองค์.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทฺวาสตฺตติ ความว่า ข้าแต่พระ-
โคดมไม่ใช่เพียงแต่ข้าพระองค์คนเดียวเท่านั้น โดยที่แท้แล้ว พวกข้า-
พระองค์ 72 คน ในพรหมโลกนี้ เป็นผู้ล้วนได้ทำบุญมาแล้ว เป็นผู้แผ่
อำนาจไป โดยการแผ่อำนาจของตนไปเหนือคนเหล่าอื่น และได้ล่วงเลย
ความเกิดและความแก่ไปแล้ว การเกิดเป็นพรหมนี้ชื่อว่าถึงพระเวทแล้ว
เพราะพวกข้าพระองค์ถึงแล้วด้วยพระเวททั้งหลาย ข้าแต่ พระโคดม

การเกิดเป็นพรหมนี้ เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย คือการถึงส่วนหลังที่สุด
ได้แก่การเข้าถึงความเป็นผู้ประเสริฐที่สุด. บทว่า อสฺมาภิชปฺปนฺติ
ชนา อเนกา
ความว่า คนอื่นมากมายพากันทำอัญชลี พวกข้าพระองค์
กล่าวคำมีอาทิว่า นี้แลคือพระพรหมพระมหาพรหมผู้เจริญ นมัสการคือ
ปรารภ ได้แก่กระหยิ่มอยู่ อธิบายว่า ปรารถนาอยู่ว่าอัศจรรย์หนอ !
เราทั้งหลายควรจะเป็นแบบนี้.
พระศาสดา ครั้นทรงสดับถ้อยคำของพกพรหมนั้นแล้ว จึงตรัส
คาถาที่ 2 ว่า :-
ดูก่อนพรหม ความจริงอายุของท่านนี้
น้อยไม่มากเลย แต่ท่านสำคัญว่าอายุของท่าน
มา จำนวนแสนนิรัพพุทะ ดูก่อนพรหม เรา
ตถาคตรู้อายุของท่าน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตํ สหสฺสาน นิรพฺพุทานํ ความว่า
การนับกล่าวคือนิรัพพุทะ มีหลายแสน. อธิบายว่า สิบสิบปีเป็นร้อย
สิบร้อยเป็นพัน. ร้อยพันเป็นแสน. ร้อยแสนชื่อว่าโกฏิ. ร้อยแสน
โกฏิชื่อว่าปโกฏิ. ร้อยแสนปโกฏิชื่อว่าโกฏิปโกฏิ. ร้อยแสนโกฏิปโกฏิ
ชื่อว่า 1 นหุต. ร้อยแสนนหุตชื่อว่า 1 นินนหุต. นักคำนวณที่ฉลาด
สามารถนับได้เพียงเท่านี้ ขึ้นชื่อว่าการนับต่อจากนี้ไป เป็นวิสัยของพระ-

พุทธเจ้าทั้งหลาย. บรรดาการนับเหล่านั้น ร้อยแสนนินนหุต เป็น 1
อัพพุทะ. 20 อัพพุทะเป็น 1 นิรัพพุทะ. ร้อยแสนนิรัพพุทะเหล่านั้น
ชื่อว่า 1 อหหะ. จำนวนเท่านี้ปีเป็นอายุของพกพรหมที่เหลืออยู่ในภพ
นี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาอายุนั้นจึงได้ตรัสอย่างนี้.
พกพรหมได้สดับพระพุทธพจน์นั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ 3 ว่า:-
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัส
ว่า เราตถาคตเป็นผู้เห็นไม่มีที่สิ้นสุด สัพพัญญู
ก้าวล่วงชาติชราและความโศกแล้ว ขอพระ-
องค์จงตรัสบอกการสมาทานพรต ศีลและ
วัตรจรณะของข้าพระองค์ แต่ก่อนว่าเป็นอย่าง
ไร ซึ่งข้าพระองค์ควรจะทราบ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภควา ความว่า ข้าแต่พระผู้มี
พระภาคเจ้า พระองค์เมื่อตรัสว่า เราตถาคตรู้อายุของท่าน ชื่อ ตรัสว่า
เราตถาคต เห็นไม่มีที่สิ้นสุด เป็นสัพพัญญู ก้าวล่วงชาติชราและความ
โศกได้แล้ว. บทว่า วตสีลวตฺตํ ได้แก่การสมาทานพรต ทั้งศีลและ
วัตร. มีคำอธิบายไว้ว่า ถ้าหากพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูพุทธะไซร้
เมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรคือพรต ศีลและจรณะเก่าของข้าพระองค์ ขอ
พระองค์จงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์ควรรู้ตามความเป็น
จริง ที่พระองค์ตรัสบอก.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงนำเรื่องอดีตทั้งหลาย
มาตรัสบอกแก่พกพรหม จึงได้ตรัสคาถา 4 คาถาว่า :-
ท่านได้ช่วยมนุษย์จำนวนมากผู้เดือดร้อน
ปางตาย กระหายน้ำจัด ให้ได้ดื่มน้ำอันใดไว้
เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของ
ท่านอันนั้นได้ เหมือนนอนหลับฝันไปแล้ว
ตื่นขึ้น ระลึกถึงความสิ้นได้ฉะนั้น. ท่านได้
ช่วยฝูงชนใด ที่ถูกโจรจับเป็นเชลยนำมาให้
รอดพ้นได้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเอณิ เราตถาคตระลึก
ถึงพรต ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้
เหมือนนอนหลับฝันไปแล้วตื่นขึ้น นึกถึงฝัน
ได้ ฉะนั้น. ท่านได้ทุ่มกำลังช่วยคนทั้งหลาย
ผู้ไปเรือในกระแสแม่น้ำคงคา ให้พ้นจากพญา-
นาคตัวร้ายกาจ อันใดเราตถาคตระลึกถึงพรต
ศีลและจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอน
หลับแล้วตื่นขึ้น นึกถึงฝันได้ ฉะนั้น. อนึ่ง
เราตถาคตได้มีชื่อว่ากัปปะ เป็นอันเตวาสิก
ของท่าน ได้รู้แล้วว่า ท่านเป็นดาบสผู้มีปัญญา

ดี มีพรต อันใด เราตถาคตระลึกถึงพรต ศีล
และจรณะเก่าของท่านนั้นได้ เหมือนนอน
หลับแล้วตื่นขึ้น ระลึกถึงฝันได้ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปาเยสิ ความว่า ให้ดื่มแล้ว.
บทว่า ฆมฺมนิ สปฺปเรเต ความว่า ผู้ปางตายเพราะความร้อน คือ
ลำบากเพราะความร้อนแผดเผาเหลือเกิน. บทว่า สุตฺตปฺปพุทฺโธว
ความว่าระลึกถึงพรตเป็นต้น ได้เหมือนนอนหลับไปในเวลาย่ำรุ่งฝัน
เห็นแล้วตื่นขึ้น ระลึกถึงความฝันนั้น ฉะนั้น.
ได้ยินว่า พกพรหมนั้นในกัปป์ ๆ หนึ่ง เป็นดาบส อยู่ที่
ทะเลทรายกันดารน้ำ ได้นำน้ำดื่มมาให้คนจำนวนมากที่เดินทางกันดาร.
อยู่มาวันหนึ่ง พ่อค้าพวกหนึ่ง เดินทางไปถึงทะเลทรายที่กันดารน้ำ
ด้วยเกวียน 500 เล่ม คนทั้งหลายไม่สามารกำหนดทิศทางได้ เดิน
ทางไป 7 วัน สิ้นฟืนสิ้นน้ำ หมดอาหาร ถูกความอยากครอบงำ คิดว่า
บัดนี้ พวกเราไม่มีชีวิตแล้ว พากันพักเกวียนเป็นวงรอบแล้ว ต่างก็
ปล่อยโคไปแล้วก็พากันนอนอยู่ใต้เกวียนของตน. ครั้งนั้น ดาบสรำลึก
ไปเห็นพ่อค้าเหล่านั้นแล้วคิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ขอคนทั้งหลายจงอย่า
พินาศเถิด จึงได้บันดาลให้กระแสน้ำคงคาเกิดขึ้น เฉพาะหน้าของพวก
พ่อค้าด้วยอานุภาพฤทธิ์ของตน. และได้เนรมิตไพรสณฑ์แห่งหนึ่งไว้ใน
ที่ไม่ไกล. พวกมนุษย์ได้ดื่มน้ำและอาบน้ำให้โคทั้งหลายอิ่มหนำสำราญ

แล้ว จึงพากันไปเกี่ยวหญ้า เก็บฟืนจากไพรสณฑ์ กำหนดทิศได้แล้ว
ข้ามทางกันดารไปได้โดยปลอดภัย. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำว่า
ยํ ตฺวํ ฯเปฯ อนุสุสรามิ นั่นทรงหมายเอาดาบสนั้น.
บทว่า เอณิกูลสฺมึ ความว่า ใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่าเอณิ. บทว่า
คยฺหก นียมานํ ความว่า ที่กำลังถูกจับเป็นชะเลยแล้วนำมา.
เล่ากันมาว่าดาบสนั้น ในกาลต่อมาได้อาศัยบ้านชายแดนตำบล
หนึ่งพักอยู่ที่ไพรสณฑ์แห่งหนึ่งใกล้ฝั่งแม่น้ำ. ครั้นวันหนึ่ง พวกโจร
ชาวเขาลงมาปล้นบ้านนั้น จับเอาคนจำนวนมากให้ขึ้นไปบนเขา วาง
คนสอดแนมไว้ที่ระหว่างทาง เข้าไปสู่ซอกเขาแล้วให้นั่งหุงต้มอาหาร
ดาบสได้ยินเสียงร้องครวญครางของสัตว์มีโคและกระบือเป็นต้น และ
ของคนทั้งหลายมีเด็กชายและเด็กหญิงเป็นต้นคิดว่า เมื่อเราเห็นอยู่ ขอ
เขาทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด แล้วจึงละอัตภาพ เป็นพระราชาแวดล้อม
ด้วยเสนามีองค์ 4 ได้ให้ตีกลองศึกไป ณ ที่นั้น. พวกคนสอดแนม
เห็นดาบสนั้นแล้วได้บอกแก่พวกโจร. พวกโจรคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการ
ทะเลาะกับพระราชาไม่สมควรแล้ว จึงพากันทิ้งเชลยไว้ไม่กินอาหาร
หนีไปแล้ว ดาบสนำคนเหล่านั้นให้กลับไปอยู่บ้านของตนหมดทุกคน
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำว่า ยํ เอณิกูลสฺมึ ฯเปฯ อนุสฺสรามิ
นั่นไว้ทรงหมายเอาดาบสนั้น.

บทว่า คหิตนาวํ ได้แก่เรือที่พ่วงขนานกัน. บทว่า ลุทฺเธน
ความว่า ผู้หยาบคาย. บทว่า มนุสฺสกปฺปา ความว่า เพราะต้องการ
ให้พวกมนุษย์พินาศ. บทว่า พลสา ความว่า ด้วยกำลัง บทว่า
ปสยฺห ความว่า ข่มขู่.
ในกาลต่อมา ดาบสพักอยู่ที่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้งนั้นคนทั้ง
หลายพากันผูกเรือขนาน 2 - 3 ลำติดกัน แล้วสร้างมณฑปดอกไม้ไว้
ที่ยอดเรือขนาน นั่งกินนั่งดื่มอยู่ในเรือขนาน แล่นไปที่ฝั่งสมุทร พวก
เขาพากันเทสุราที่เหลือจากดื่ม ข้าวปลาเนื้อและหมากพลูเป็นต้น ที่
เหลือจากที่กินและเหลือจากที่ขบเคี้ยวแล้วลงแม่น้ำคงคานั่นเอง. พญา-
นาคชื่อว่าคังเคยยะโกรธว่า คนพวกนี้โยนของที่เหลือกินลงเบื้องบน
เรา หมายใจว่า เราจักรวบคนเหล่านั้นให้จมลงในแม่น้ำคงคาหมดทุกคน
แล้วเนรมิตอัตภาพใหญ่ประมาณเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง แหวกน้ำขึ้นมา
แผ่พังพานลอยน้ำไปตรงหน้าคนเหล่านั้น. พวกเขาพอเห็นพญานาค
เท่านั้น ก็ถูกมรณภัยคุกคามส่งเสียงร้องลั่นขึ้นพร้อมกันที่เดียว. ดาบส
ได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา ก็รู้ว่าพญานาคโกรธ คิดว่า เมื่อ
เราเห็นอยู่ขอคนทั้งหลายจงอย่าพินาศเถิด แล้วได้รีบเนรมิตอัตภาพ
เป็นเพศครุฑบินไปด้วยอานุภาพของตน โดยติดต่อกันโดยพลัน. พญา-
นาคเห็นครุฑนั้นแล้ว หวาดกลัวความตายจึงดำลงไปในน้ำ. พวก
มนุษย์ถึงความสวัสดีแล้วจึงได้ไปกัน พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำว่า
คงฺคาย โสตสฺมึ ฯ เป ฯ อนุสฺสรามิ นั่นทรงหมายเอาดาบสนั้น.

บทว่า ปตฺถจโร ได้แก่อันเตวาสิก. บทว่า สมฺพุทฺธิวนฺตํ วติ
โส อมญฺญํ
ความว่า เรารู้จักท่านว่า เป็นดาบสผู้เพียบพร้อมด้วยปัญญา
ทั้งถึงพร้อมด้วยวัตร. ด้วยบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้อย่าง
ไร ทรงแสดงไว้ว่า ดูก่อนท้าวมหาพรหม. ในอดีตกาลในเวลาท่าน
เป็น เกสวดาบส เราตถาคต เป็นคนรับใช้ใกล้ชื่อว่า กัปปะ เมื่อ
ท่านถูกอำมาตย์ชื่อ นารทะ นำมาป่าหิมพานต์ จากเมืองพาราณสี ได้ให้
โรคสงบไป. ลำดับนั้น นารทะ อำมาตย์มาเยี่ยมท่านครั้งที่ 2 เห็น
หายจากโรค จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า :-
ท่านเกสีผู้มีโชค ไยเล่าจึงละทิ้งจอมคน
ผู้ให้ความต้องการทุกอย่างสำเร็จได้ มายินดีใน
อาศรมของท่านกัปปะ.

ท่านได้กล่าวคำนี้กะอำมาตย์ นารทะ นั่นนั้นว่า:-
ดูก่อนท่านนารทะ สิ่งที่ดีน่ารื่นรมย์ใจมี
อยู่ ต้นไม้ทั้งหลาย ที่รื่นเริงใจก็ยังมี ถ้อยคำ
ที่เป็นสุภาษิตของกัสสป ให้อาตมารื่นเริงใจได้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงความที่โรคของท่าน เกสี
ดาบส
นี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ผู้ทรงเป็นอันเตวาสิกให้สงบได้ด้วยประการ

อย่างนี้แล้ว จึงได้ตรัสอย่างนี้. ก็อีกอย่างหนึ่ง เมื่อจะให้มหาพรหมทั้ง
หมด กำหนดรู้กรรมที่พรหมนั้น พกพรหม ทำไว้ในมนุษยโลกนั่นเอง
จึงตรัสคำนี้ไว้.
พกพรหม นั้น ระลึกถึงกรรมที่ตนได้ทำไว้ ตามพระดำรัสของ
พระศาสดาได้แล้ว เมื่อจะทำการสดุดีพระตถาคต จึงได้กล่าวคาถา
สุดท้ายไว้ว่า :-
พระองค์ทรงทราบอายุของข้าพระองค์นั่น
ได้แน่นอนแม้สิ่งอื่นพระองค์ก็ทรงทราบเพราะ
พระองค์ทรงเป็นพระพุทธเจ้าแท้จริง จริงอย่าง
นั้น พระรัศมีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์นี้ จึง
ส่องพรหมโลกให้สว่างไสวอยู่.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตถา หิ พุทโธ ความว่า เพราะว่า
พระองค์ทรงเป็น พระพุทธเจ้า แท้จริง อันธรรมดาว่า พระะพุทธเจ้า
ทั้งหลายจะไม่มีสิ่งที่ไม่ทรงรู้ด้วยว่าท่านเท่านั้นชื่อว่าพุทธะ เพราะตรัสรู้
ธรรมทุกอย่างนั่นเอง. บทว่า ตถา หิ ตายํ ความว่า ก็อีกอย่างหนึ่ง
เพราะทรงเป็น พระพุทธเจ้า นั่นเอง พระรัศมีจากพระสรีระของพระ-
องค์ที่รุ่งโรจน์. บทว่า โอภาสยํ ติฏฺฐติ ความว่า พระรัศมีจากพระ-
สรีระนี้ จึงส่องพรหมโลก แม้ทั้งหมดนี้ให้สว่างไสวอยู่.

พระศาสดา เมื่อทรงให้พกพรหมรู้พระพุทธคุณของพระองค์ไป
พลางทรงแสดงธรรมไปพลาง จึงทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุด
แห่งสัจธรรม จิตของพระพรหมประมาณหมื่นองค์พ้นจากอาสวะทั้งหลาย
แล้ว เพราะไม่ยึดมั่น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นที่พึ่งของพระ-
พรหมทั้งหลายด้วยประการอย่างนี้ ได้เสด็จจากพรหมโลกมาพระเชตวัน
วิหาร แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยทำนองที่
ได้ทรงแสดงแล้ว ในพรหมโลกนั้น แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า เกสว-
ดาบสในครั้งนั้น ได้แก่พระพรหม ในบัดนี้ ส่วนกัปปมาณพได้แก่เรา
ตถาคตนั่นเอง ฉะนั้นแล.
จบ อรรถกถาพกพรหมชาดกที่ 10

รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ


1. กุกกุชาดก 2. มโนชชาดก 3. สุตนชาดก 4. ธาตุโปสก-
คิชฌชาดก 5. ทัพพปุปผชาดก 6. ทสัณณกชาดก 7. เสนกชาดก
8. อัฏฐิเสนชาดก 9. กปิชาดก 10. พกพรหมชาดก
จบ กุกกุวรรคที่ 1